hello my name is warapong pannasan.

สวัสดีครับทุกๆท่านที่ติดตาม blog ของ sweet garlic sound system

ผมมานั่งดูสถิดติการเขียน blog ของผมดูแล้ว กว่าจะมีเวลามานั่งบรรเลงตัวหนังสือเนี่ย.......
ก็ปาเข้าไปจะเป็นเดือนแล้ว ทั้งที่ประสบการณ์ของการทำงาน 

ในแต่เละดือนของผมต้องผ่านอะไรมามากมายซะเหลือเกิน ผมอยากจะแบ่งปันความรู้ และ 
ประสบการ์ณอันน้อยนิดให้ทุกคนที่ชื่นชอบและสนใจในเรื่องของงาน  "ช่างซาวน์"
( ผมไม่กล้าเรียกตนเองว่า sound engineer เพราะผมไม่ได้จบด้านนี้มาโดยตรง )

แต่....ก็ไม่สมารถเอามาแบ่งปันได้หมดไปทุกเรื่องเนื่องจากเวลาที่ยังไม่ลงตัว
ผมสัญญาว่าในแต่ละเรื่องจะไม่ทำให้ทุกคนที่ติดตาม blog นี้ผิดหวัง และจะรีบนำเรื่องราวมาเขียนให้ได้ติดตามเร็วๆนี้ แน่นอนครับ

aun

"ค่าเสื่อม" เรื่องที่ supplier อย่างเราไม่สนใจ

อาชีพให้เช่าเครื่องเสียง หลายๆเครื่องเช่า ออกมาให้บริการกันเพราะมีเหตุผลต่างๆนานา

บางคน.........สนุก
บางคน.........ทำเป็นอาชีพหลัก
บางคน.........ทำเป็นอาชีพเสริม
บากคน.........ใจรัก

ก็ว่ากันไปต่างๆนานาครับ

ผมขอเล่าเรื่องสักเรื่องละกัน

วันหนึ่งก่อนผมจะเริ่มธุรกิจ ให้เช่า sound system
ผมและหุ้นส่วนก็ได้มานั่งคิดว่าเราจะใช้ brand ไหน จับตลาดกลุ่มอะไร
ลูกค้าที่เรามีในมือมีกำลังจ่ายเท่าไหร่ แล้วเราจะพัฒนาไปทางไหน

เราจึงตัดสินใจซื้อลำโพง  brand หนึ่ง สมมุติว่าลำโพง "sweetsound"
ลำโพงตัวนี้น้ำเสียงผู้ดีมากๆๆๆๆๆ หล่อเหลาเอาการ ราคาเอาเรื่อง
แบบว่า งานใน hall สู้ตาย แต่งานกลางแจ้ง ขอบายพ่ะย่ะค่ะ

ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ ..... แต่ไม่ถูกหูวัยรุ่นไทย ไม่ถูกกับการใช้งาน

ผมต้องการขาย.................ขายไปเลย ^^ ไปอยู่กับเนื้อคู่ของเจ้าซะ

แต่ว่า "ราคาขายของมันนี่สิ" !!!!

ซื้อมาใบละ 38,000฿ คู่ละ 76,000฿

ลองทายสิครับว่าผมจะขายราคามือ 2 เท่าไหร่ดี..................................
.....................ติ๊ก...........ต๊อก...........ติ๊ก.................ต๊อก.........................

ยังไม่บอกครับ เกริ่นมาให้เสียวววว กันเล่นๆ

เรามาเข้าเรื่องกันดีว่าครับ

การคิดค่าเสื่อมของสินค้าสามารถคิดได้หลายแบบหลายวิธีครับ
ผมจะอธิบายง่ายๆแบบชาวบ้านนะครับ ให้พวกเราชาวเครื่องเช่า
ได้ถึงบางอ้อกันเลยทีเดียว

ข้อแรก : ค่าซาก 

คิดง่ายๆเลยคือ ซื้อลำโพง "sweetsound" มา 38,000฿
จะใช้ไปอีกซักกี่ปีดีหนอ.......สมมุติว่าผมใช้ไปสัก 6 ปีละกัน
ผมคิดว่าหลังจากใช้งานมันครบ 6 ปีแล้วจะขายมันต่อที่เท่าไหร่
นั่นคือ.....ค่าซากครับ ส่วนตัวผมคิดว่าใน 6 ปีคงใช้งานมันหนัก
เอาให้คุ้มค่าเงินที่เราจ่ายไป ขายซากสัก 8,000 ละกัน


สรุปคือค่าซาก 8,000฿


ข้อสอง : ค่าเสื่อม


การคิดค่าเสื่อมคือ เอามูลค่าของลำโพง ลบ ค่าซากครับ 38,000 - 8,000 = 30,000
เพราะฉนั้นค่าเสื่อมสามารถคิดได้จาก.............
เอา 30,000 ไปหารระยะเวลาที่คิดว่าจะใช้งาน (6ปี)

สรุปคือลำโพงใบนี้จะมีค่าเสื่อม ปีละ 5,000 บาท



ง่ายมั้ยครับ..........โคตรจะง่าย
แต่ก็มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวใช่มั้ยล่ะ???
ว่าคิดไปแล้วได้อะไร???


เราทำธุรกิจด้านนี้เราต้องคิดครับ แล้วคิดให้เยอะๆด้วย
ทำเพื่อสนุก หรือว่าทำเพื่อหาเงิน มีผลหมดแหละครับ

ลองคิดดูครับว่า.......ถ้าลำโพง "sweetsound" ใช้งานได้สัก 8 ปี
ใช้งานได้คุ้มเกินคาดล่ะ? น่าคิดมั้ย?


ระยะเวลา 2 ปีของการใช้งานที่เพิ่มขึ้นมา
จากที่เราคาดว่าจะใช้ได้แค่ 6 ปีเราจะถือว่าของชิ้นนี้คุ้มราคามากๆครับ
ได้กำไรเพิ่มมาจากค่าเสื่อม 10,000 ฿ โว้วว คุ้มสุดยอด เพราะมันเกินค่าเสื่อมมาแล้ว
แล้วค่อยเอาไปขายต่อในปีที่ 8 ก็คุ้มค่าอยู่ครับ ^^

สุดท้ายครับ


ตามความจริง เมื่อเราใช้งานแล้ว มันจะต้องมีค่าบำรุงอยู่บ้าง
แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราใช้งานแบบถูกต้องตามที่คู่มือบอก
ไม่ใช้ผิดประเภท เราแทบจะไม่ต้องมีค่าบำรุงเลยซะด้วยซ้ำ
"ที่สำคัญ ซื้อของที่มี service ของที่มี brand ไม่เจ็บตัวที่สุดครับ"